วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20

น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 – What I Wish I Knew When I Was 20






         ผู้เขียน Tina Seelig เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนังสือเล่มนี้เลยถ่ายทอดประสบการณ์ในบทเรียนที่เธอใช้สอนลูกศิษย์ เช่นบทเรียนที่เธอสอน กิจกรรมที่ให้นักศึกษาจับกลุ่มทำ และยังมีเรื่องราวจากประสบการณ์ของเธอเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวต่างๆที่ได้เจอมาในชีวิตของเธอเอง คนรอบตัว เนื้อหาแบ่งออกเป็นสิบบทที่แต่ละบทก็จะเน้นการพัฒนาตนเองในด้านความคิดและการตัดสินใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ถ่ายทอดออกมาผ่านเรื่องราวจากประสบการณ์ของทั้งตัวผู้เขียนเองและบุคคลรอบข้างที่ผู้เขียนได้เจอมา

        เป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราวประสบการณ์นะ เพราะมันเป็นอะไรที่คนเล่ามักจะคัดเลือกเรื่องราวดีๆออกมาแล้วก่อนที่จะเล่า ซึ่งจะทำเราให้ได้เรียนรู้วิธีคิดและการตัดสินใจของเค้าในสถานการณ์นั้นๆ
ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่ดีแต่รู้สึกอ่านแล้วเบื่อๆแฮะ55555555



   **************อย่าลืมหาหนังสือน่าสนมาอ่านกันนะคะ*******************

ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน – Steal Like an Artist

ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน – Steal Like an Artist





ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะซ้ำคนอื่นๆไปซะหมดการสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาใหม่จึงดูเป็นเรื่องยาก นั่งก็เป็นเพราะว่าผลงานอะไรก็ตามที่ดูเปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์ล้วนได้รับแรงบัลดาลใจมาจากสิ่งที่เคยมีมาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรแปลกใหม่อย่างแท้จริง แต่การขโมยมันต้องมีศิลปะ ถ้าลอกมาทั้งหมดก็คงไม่ใช่ผลงานที่ดี นี่คือแนวคิดของหนังสือที่มีชื่อว่า”ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน”
     การขโมยให้ได้อย่างศิลปินก็คือการค้นหาว่ามีอะไรที่น่าเลียนแบบบ้าง อะไรบ้างที่คุ้มค่าต่อการขโมย แล้วนำเอามันมารวมเข้ากับความคิดของเราเข้าเพื่อประกอบมันขึ้นมาใหม่ นักดนตรีฝึกเล่นเพลงด้วยเพลงของนักร้องดังๆ จิตรกรเก่งๆก็ฝึกวาดภาพเลียนแบบผลงานชิ้นเอกของโลก แม้แต่วงเดอะบีตเทิลส์ก็ยังเคยเล่นเพลงของคนอื่นมาก่อน
       เป็นหนังสือแนวพัฒนาตนเองอีกเล่มหนึ่งที่นำเสนอแนวความคิดที่น่าสนใจพอสมควร การเลียนแบบในสิ่งที่ตัวเองชอบและนำมาปรับปรุงใหม่ถือว่าเป็นเรื่องนิยมในปัจจุบัน คิดว่าหนังสือนำเสนอเนื้อหาด้วยคำแบบง่ายๆเป็นบทสั้นๆคล้ายแบบเป็นตอนๆกระชับ 

        *************อย่าลืมหาหนังสือน่าสนอ่านกันนะคะ***************

33 ความคิดพลิกชีวิตสู่ความสำเร็จ

33 ความคิดพลิกชีวิตสู่ความสำเร็จ 




                                   หนังสือ 33 ความคิดพลิกสู่ความสำเร็จ” เป็นหนึ่งในสามเล่มของ “ชุดสู่ความสำเร็จ”]

 เขียนโดยสามนักเขียนของเอเชีย (จีน, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น) การันตีด้วยยอดขายกว่า 1,000,000 เล่ม จากทั่วโลก
โดยเนื้อหาในเล่มเน้นให้เริ่มต้นจากการคิดบวก โดย 33 วิธีคิดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ดีให้แก่ตนเอง ยอมรับในสิ่งใหม่ๆ เพราะหากมีทัศนคติเชิงบวกแล้ว ก็จะทำให้เรารู้จักคิด พูด และแสดงพฤติกรรมออกมาในเชิงบวก เป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง
หากเราคิดบวกเมื่อไรก็จะเป็นการส่งพลังด้านดีไปสู่ทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นองค์กร ครอบครัว เพื่อนๆ ตลอดจนผู้คนรอบข้าง เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีต่อเรื่องงานตั้งแต่เริ่มทำแล้ว…ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม 

ผู้เขียน : ซูเหม่ยจิ้ง, ริวงาวะ มิกะ, จางจวิน





****************************************อย่าลืมหาหนังสือน่าสนอ่านกันนะคะ******************************************



วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตัวเราไม่ธรรมดา

ตัวเราไม่ธรรมดาาาาาา



หนังสือเล่มนี้พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ เขียน มียอดไลค์ใน FBถึง5.1ล้านคน
เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ให้อะไรเราหลายอย่าง อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเราก็ไม่ธรรมดานะ เป็นหนังสือที่บอกว่าการทำอะไรต่างๆเราสามารถทำให้มันไม่ธรรมดาได้ ทำให้มันพิเศษได้นะถึงมันจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่นการอ่าน.....ใช่ว่าจะธรรมดา  จินตนาการ..ใครว่าธรรมดา   การกระทำ....ไม่ธรรมดา อันนี้จะเป็นหัวข้อหลักในหนังสือ 



อันนี้คือหัวข้อนึงที่อ่านแล้วรู้สึกชอบ
แก้ไขตนเองอย่างไรดีถ้าเป็นคนชอบหนีปัญหา?  อันนี้มันอาจจะนิสัยตัวเราหรืออาจจะเป็นคนข้างๆเราก็ได้แต่ส่วนตัวถ้าปัญหามันไม่มีทางออกที่ดีก็หนีบ้าง แต่จะเป็นคนไม่ค่อยหนีปัญหาอยู่แล้ว  อย่างที่ในหนังสือบอกเลย เมื่อเกิดปัญหาอันดับแรกตั้งสติ ไตรตรอง หาทางออก บ้างคนอาจจะบอกว่ามันไม่ง่าย ใช่มันไม่ง่ายแล้วมันจะเรียกว่าปัญหาหรอ  ถือว่าเป็นหัวข้อนึงที่น่าสนใจ


คุณคือคนพิเศษ คุณอาจจะปฏิเสธว่า " เป็นฉันก็ธรรมดา ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน"




***********************อย่าลืมหาหนังสือน่าสนอ่านกันนะคะ************************

ทำน้อยให้ได้มาก

ความลับที่คนงานยุ่งตลอดเวลาไม่เคยรู้ 

ทำน้อยให้ได้มากกกกกกกกกก

เพราะการทำมากไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเสมอไป


ไม่เคยมียุคไหนที่เราสามารถทำสิ่งต่างๆมากมายให้เสร็จได้เร็ว เท่าปัจจุบัน แต่ก็ไม่เคยมียุคไหนเช่นกันที่เราต้องจัดการกับเรื่องที่ประดังประเดเข้ามามากมาย 
หนังสือเล่มนนี้จะบอกถึงความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตในการทำงานของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
การบิหารเวลาที่เรียบง่าย
อีเมล์ที่เรียบง่าย
ภาระหน้าที่ที่เรียบงาน 
สะสางพื้นที่ทำงาน
กิจวัตรประจำวันที่เรียบง่าย
ล้วนแต่บอกการใชีชีวิตให้เราทำอะไรให้ง่ายขึ้นให้เรียบง่ายขึ้น




ชอบหนังสือเล่มนี้ที่บอก เคยสงสัยไหมว่าทั้งที่คนเราก็มีเวลาเท่าๆกัน ........... หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ



     *******************อย่าลืมหาหนังสือน่าสนๆมาอ่านกันนะคะ****************

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

10นักเขียนที่มีรายได้เยอะที่สุดในโลก

10 อันดับ นักเขียนที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก

                1. เจมส์ แพทเทอร์สัน นักเขียนวรรณกรรมแนวสยองขวัญที่มีรายได้อันดับ 1 ของโลก จากผลงานวรรณกรรมหลายเรื่อง ที่สนุกและชวนติดตาม เช่น The Beach House, The Postcard Killers, Swimsuit, The Murder of King Tut เป็นต้น มีรายได้รวมทั้งหมด 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



               2. สเตฟานี่ เมเยอร์ นักเขียนชาวอเมริกันที่เป็นที่รู้จักกันดีจากผลงานชื่อก้องโลก เรื่อง Twilight นั่นเอง ซึ่งวรรณกรรมเรื่องนี้ขายได้กว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลกเลยทีเดียว รายได้รวมทั้งหมด 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ




           3. สตีเฟ่น คิง นักเขียนที่มีผลงานหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นแนวฆาตกรรม วิทยาศาสตร์ หรือแฟนตาซี เป็นที่รู้จักกันดีจากผลงานวรรณกรรมเรื่อง Carrie, The Shining และ The Dark Tower เป็นต้น รายได้รวมทั้งหมด 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



             4. แดเนียล สตีล นักเขียนชาวอเมริกัน ที่มีนวนิยายรักสุดโรแมนติกที่ทำให้ผู้อ่านประทับใจมาแล้วหลายเรื่อง ผลงานของเธอขายได้กว่า 580 ล้านเล่มทั่วโลก และเป็นนักเขียนเบสท์เซลเลอร์อันดับ 8 ของโลกเลยทีเดียว มีรายได้รวมทั้งหมด 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ





             5. เคน ฟอลเลต นักเขียนนวนิยายแนวสยองขวัญชาวอังกฤษ ผลงานของเขาขายได้กว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก โดยผลงานที่ยอดเยี่ยมระดับเบสท์เซลเลอร์ ได้แก่ The Key to Rebecca, Lie Down with Lions, Triple และ World Without End มีรายได้รวมทั้งหมด 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ





            6. ดีน คูนทซ์ นักเขียนนวนิยายแนวฆาตรรมสยองขวัญ เรื่องเร้นลับ รวมไปถึงนวนิยายไซไฟ ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Mr. Murder, Watchers, Frankenstein และ Black River เป็นต้น รายได้รวมทั้งหมด 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ





            7. เจเน็ต อีวาโนวิช นักเขียนชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานนวนิยายแนวรักโรแมติก ผู้มีชื่อเสียงจากผลงานเรื่อง Stephanie Plum และงานวรรณกรรมเรื่องล่าสุด Wicked Appetite มีรายได้รวมทั้งหมด 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ




                8. จอห์น กริสแฮม นักเขียนชาวอเมริกัน อดีตทนายความและนักการเมือง ที่มีผลงานสยองขวัญ ฆาตกรรมเกี่ยวกับกฎหมาย โดยผลงานของเขาขายได้กว่า 250 ล้านเล่มทั่วโลก ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ The Chamber, Runaway Jury, Christmas with the Kranks และ The Gingerbread Man เป็นต้น รายได้รวมทั้งหมด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


           9. นิโคลัส สปาร์คส์ นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงจากนวนิยายที่ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง ได้แก่ Message in a Bottle, A Walk to Remember, The Notebook, Nights in Rodanthe, Dear John และ The Last Song มีรายได้รวมทั้งหมด 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ




              10. เจ เค โรลลิ่ง นักเขียนที่เคยโด่งดังที่สุดในโลก จากวรรณกรรมระดับโลก แฮร์รี่ พอตเตอร์ นั่นเอง มีรายได้รวมในปีนี้ทั้งหมด 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ





***********อ้างอิงhttp://hilight.kapook.com/view/51597*****************

หนังสือเล่มแรกของไทย

หนังสือเล่มแรกของไทยยยย!!!!!!!!!



หนังสือเล่มนี้ เท่าที่ข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ) ได้สอบสวนมาปรากฏว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศไทย มีเพียง 64 หน้า ขนาดเท่าหนังสือเล่มนี้(11*16.5 ซม.)   หนังสือนี้พิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796) โดยบาทหลวงชื่อ การ์โนต์ ที่โบสถ์ ซังตาครูซ ฝั่งธนบุรี ในสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คณะบาดหลวงฝรั่งเศสที่ได้เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ไม่เห็นด้วยการที่จะให้ขุนนางไทยที่นับถือคริสต์ศาสนาไปดื่มน้ำพระพิพัฒสัตยา โดยถือว่าน้ำมนต์ที่จิ้มด้วยหอกดาบ เป็นพิธีลัทธิเดียรถีย์ จึงเกิดเป็นปรปักษ์กับสมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้น สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงสั่งเนรเทศบาดหลวงการ์โนต์ออกไปนอกประเทศ ครั้นถึงสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ทรงมีรับสั่งให้คณะบาดหลวงกลับเข้ามาสอนศาสนาตามเดิมได้ บาดหลวงการ์โนต์ กับคณะจึงเข้ามาอยู่ที่กรุงธนบุรีตามเดิมและได้นำเครื่องพิมพ์เข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2339 (ค.ศ.1796) และได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นที่โบสถ์ซังตาครูซ
ข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ)เข้าไปค้นพบประวัติเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ในเอกสารโต้ตอบระหว่างบาดหลวงการ์โนต์กับบาดหลวงเดกูวริแอร์ ในหนังสือ Documents Historiques และได้นำมาลงไว้ในหนังสือ Popula History of Thailand ของข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ)เมื่อ พ.ศ. 2515 (หน้า 433-6) คือเมื่อตอนกลับจากปารีส การพิมพ์ในขณะนั้นลำบากมาก ตัวพิมพ์ภาษาไทยยังไม่มีต้องใช้ตัวอักษรโรมันออกเสียงเป็นภาษาไทยแทนและการหล่อตัวพิมพ์ก็ลำบาก      เพราะต้องใช้แม่พิมพ์ปั้นด้วยดินเหนียวเอา  เผาแล้วหลอมตระกั่วหยอด ฉะนั้นหลอมได้ตัวเดียวก็ต้องทำแม่พิมพ์ใหม่ทุกครั้ง ทำให้ตัวพิมพ์ไม่สม่ำเสมอ และการพิมพ์ก็ไม่เรียบร้อย เส้นขาด ๆ วิ่น ๆ และบางทีก็หายไป หมึกเลอะเทอะ ข้าพเจ้าได้ใช้วิธีถ่ายรูป เพื่อพิมพ์ให้เหมือนต้นฉบับเดิมทุกอย่าง
ตัวพิมพ์ภาษาไทยเพิ่งจะมีผู้มาประดิษฐ์ขึ้นในตอนหลัง โดยมีนางจัดสันค้นคว้าเรียนภาษาไทยกับเชลยศึกไทยในประเทศพม่า แล้วส่งหนังสือสอนศาสนาภาษาไทยที่นางแปลจากภาษาพม่าของสามีลงไปพิมพ์ที่เมืองเซรัมปอร์ในมณฑลเบ็งกอลเมื่อ พ.ศ.2362 หรือหลังจากหนังสือเล่มนี้ 23 ปี ต่อมานายร้อยเอกเจมส์โลว์ได้เรียบเรียงหนังสือไวยากรณ์ไทยขึ้นที่เมืองกลักตาเมื่อ พ.ศ. 2371 (ค.ศ.1828) แต่รู้สึกว่าการพิมพ์ครั้งนี้ใช้วิธีพิมพ์หิน ไม่ใช่เรียงพิมพ์ เนื่องจากไม่ปรากฎหนังสือของนางจัดสันหลงหลืออยู่ จึงตอบไม่ได้ว่า ตอนนั้นพิมพ์กันด้วยวิธีใด อย่างไรก็ดีตัวพิมพ์ไทยที่กลักตาคงจะได้มีขึ้นแล้วเพราะปรากฎว่าสิงคโปรได้ส่งคนเข้ามาซื้อแม่พิมพ์ไปเมื่อ พ.ศ. 2376 และต่อมาทางเมืองไทยก็ไปซื้อจากสิงคโปร์นำเข้ามาใช้เมื่อ พ.ศ. 2379
เมื่อไปราชการ ณ กรุงปารีส คราวประชุมใหญ่ยูเนสโก เมื่อเดือนตุลาคม 2526 ข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ) ได้ไปติดต่อกับบาดหลวงเกนู นักเอกสารของสำนักงานใหญ่ คณะบาดหลวง ณ กรุงปารีส แต่ก็ไม่พบหนังสือเล่มนี้ในกองเอกสารของคณะบาดหลวง ท่านบาดหลวงเกนูบอกว่า ในขณะนั้น (ค.ศ. 1796 หรือ พ.ศ.2336) เพิ่งจะมีการปฎิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส ทหารคณะปฎิวัติเข้ายึดสำนักงานและสั่งปิดสำนักงานของคณะบาดหลวงอยู่หลายปี การติดต่อระหว่างคณะบาดหลวงในกรุงเทพฯกับสำนักงานใหญ่กรุงปารีสจึงขาดสะบั้นลง หนังสือส่งไปเก็บที่กรุงปารีสไม่ได้ แต่บังเอิญเคราะห์ดีบาดหลวงการ์โนต์ ผู้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ได้เก็บไว้ส่วนตัวเล่มหนึ่ง (มีลายเซ็นนามของบาดหลวงการ์โนที่หน้าปก) เมื่อบาดหลวงการ์โนต์ถึงแก่มรณกรรมที่จังหวัดจันทบุรี (ซึ่งเป็นที่เผยแพร่ศาสนาด้วยอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย) เมื่อ พ.ศ.2354 (ค.ศ.1811) ทรัพย์สมบัติของบาดหลวงการ์โนต์รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ ถูกส่งกลับไปให้ญาติที่กรุงปารีส หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเล่มเดียวที่หลงเหลืออยู่ จนกระทั่งพวกเพื่อนของข้าพเจ้าได้ไปสืบจนพบหนังสือเล่มนี้และนำมาเสนอข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ) ข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ)จึงได้เดินทางไปซื้อ นำกลับมาเมืองไทยเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2526 นี้เอง และนำกลับมาแสดงไว้ที่ร้านเฉลิมนิจ ให้ชมกัน




ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าเกี่ยวกับการพิมพ์ในประเทศไทยและพบในวารสารทางวิชาการของโรงเรียนฝรั่งเศสในตะวันออกไกล เล่ม 68 พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1980) หน้า 211 ว่า เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้นำโกษาปานไปชมโรงพิมพ์หลวงในกรุงปารีส เมื่อ ค.ศ. 1686 (พ.ศ. 2229) โกษาปานตื่นเต้นมากอยากจะนำเอามาใช้ในเมืองไทยบ้าง แต่พอกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาก็เกิดการปฎิวัติโดยพระเพทราชาและขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกนอกประเทศ  การติดต่อกับฝรั่งเศสจึงขาดสบั้นลงตั้งแต่นั้นมา จนถึงสมัยกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ  และในหน้า 212 ผู้แต่งเรื่องนี้ในวารสารโรงเรียนตะวันออกไกลเล่มนี้ ( Gerald Duverdier X) ก็ยืนยันว่าการที่มีเครื่องพิมพ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงคงเป็นไปไม่ได้ ( "Nous pouvons d'autant mieuxecarter la possibilite d'une imprimerie a Ayuthia….")   ตามที่นึกกันว่า น่าจะมีการพิมพ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์กันบ้าง เพราะ บาดหลวงฝรั่งเศสแต่งหนังสือภาษาไทยไว้มาก ถ้าได้มีการพิมพ์จริง ก็น่าจะมีตัวอย่างหนังสือส่งไปเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่กรุงปารีสบ้าง ข้าพเจ้า(ม.ล.มานิจ)ได้วิ่งเข้าวิ่งออกกองเอกสารของเขา ในฐานะผู้ค้นคว้าและสนใจทางประวัติศาสตร์ของไทย เป็นเวลากว่า 30 ปี นับแต่ไปอยู่กับยูเนสโกที่กรุงปารีส ก็ไม่พบ ทั้งๆที่ได้รับความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ของเขา พบแต่ต้นฉบับหนังสือที่บาดหลวงแต่ง และยังได้พบกระทั่งรายงานที่เป็นภาษาไทยที่โกษาปานทิ้งร่างไว้ฉนั้นการพิมพ์ในสมัยอยุธยาคงจะไม่มีจริงตามที่ นาย ดูแวรดิแอ เขียนไว้ในวารสารของโรงเรียนตะวันออกไกลฉบับที่ 68นั้น
หนังสือเล่มนี้มีราคาร่วมแสนบาท ข้าพเจ้าถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทย ที่ได้อุบัติขึ้นในประเทศไทย ข้าพเจ้าจึงมีมุมานะว่าจะต้องเอากลับคืนมาเมืองไทยให้จงได้ จะยอมให้ชาติอื่นเขาประมูลเอาไปไว้ในประเทศอื่นไม่ได้ แม้แพงแสนแพงก็ต้องเอากลับมา ดังนี้



***********อ้างอิง https://www.gotoknow.org/posts/222381**************





วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

everybody hurts

everybody hurts..........


 คนเราต้องดูแลความรู้สึกตัวเองก่อน ต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนแบบไหนเพราะการทำความเข้าใจตัวเองคือต้นทางสำคัญที่สุด ถ้าเราทำอะไรโดยไม่ห่วงความรู้สึกตัวเองเลย สุดท้ายเราก็จะค่อยๆ ทำให้ตัวเองเกิดบาดแผลโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราเจ็บจากข้างใน ก็ยากที่เราจะมีความสุขได้เต็มที่




บทที่ชอบส่วนตัว






การใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดนั้นก็จะลงเอยด้วยการไปทำร้ายคนอื่นอีกต่อเนื่องกันไป ให้เขามีบาดแผลไม่มากก็น้อย เพียงเพราะทุกอย่างมันเริ่มมาจากการที่เราไม่รักษาบาดแผลของตัวเอง..............




***************อย่าลืมหาหนังสือดีๆอ่านกันนะคะ***********



ความสุขโดยสังเกต


ความสุข โดยสังเกต



หนังสือเล่มนี้ก็อยู่แล้วว่าความสุขโดยสังเกต จะบอกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เรามีความสุข ให้เราค่อยสังเกตเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น




 อันนี้คือหนึ่งบทที่เราชอบ คือบทที่8 ความสุขเกิดขึ้นเมื่อยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น
   
          บทนี้เหมือนสอนให้เรายอมรับกับสิ่งต่างๆไม่ว่ามันจะไม่มีความสุขหรือมีความสุขก็ตามสอนให้เรารู้จักการยอมรับกับทุกสิ่ง ถ้าเรายอมรับแล้วผลของมันคือเราจะไม่กังวลหรือเป็นเดือดเป็นร้อน เราจะโอเคกับมันจะมีความสุขกับมัน แค่เรามองทุกอย่างยอมรับเข้าใจมีความสุขเกิดขึ้นแน่นอน




                     **************อย่าลืมหาหนังสือดีๆมาอ่านกันนะคะ******************

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

lonely me lonely you

   หนังสือ lonely me lonely you

เป็นหนังสือเล่มเล็ก ที่พกติดตัวได้สบายเลย แล้วยังเป็นหนังสือที่น่าสนอีกด้วยนะ :)



มาพูดถึงหนังสือกันนะคะ หนังสือเล่มนี้คงตอบโจทย์ของคนเหงาได้ดีเลยทีเดียว 
  เราบ่นคำ "เหงา" กันบ่อยขึ้นไหม?   ตอบเลยว่า "ใช่" 5555555   
หนังสือเล่มนี้เลยหยิบเอาเรื่องใกล้ตัวที่เราต่างต้องพบเจอ  ไม่ว่าจะเป็น 
เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ความใฝ่ฝัน การทำงาน 

แล้วในยุคสมัยแห่งความเหงาอย่างทุกวันนี้หนังสือเล่มนี้ มีคำถามชวนคิด ที่ให้ผู้อ่านแต่ละคนได้มีคำตอบว่าจะทำ อย่างไร กับความเหงาของตัวเอง  คำตอบอาจจะไม่ทำให้หายเหงา แต่อย่างน้อย เราทุกคนจะอยู่กับความเหงาได้อย่างเข้าใจมากขึ้น 





ส่วตัวชอบบทความอยู่อันนึ่ง
 "...เราทุกคนล้วนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ในเมืองใหญ่มีคนมากมายเดินสวนกัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเดินเคียงข้างกัน
ระหว่างที่ยังไม่เจอใครคนนั้น หลายคนหวังเพียงว่า
ขอให้ตัวเองแกร่งกล้ารับมือกับความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ยาวนานพอ"





******อย่าลืมหาหนังสือดีๆอ่านกันนะคะ*********


วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

สัมภาษณ์ผู้รู้เกี่ยวกับหนังสือ

อาจารย์ ปฏินันท์ สอนในสาขาวารสาร  ผู้รู้เกี่ยวกับหนังสือ








          จากที่สัมภาษณ์อาจารย์เราได้แนวคิดในว่าการที่เราเรียนในห้องมันไม่ได้ทำให้เราได้ความารู้มากขึ้นแต่เราได้ความรู้ที่ทุกคนควรรู้ อาจารย์ได้บอกว่าการอ่านหนังสือมันไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้ร้ว่าความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดมีแต่ตัวเราเองที่หยุดมัน



 แล้วอาจารย์ก็มีคำคมว่า "ถ้าเราคิดว่าตัวเองมีความรู้มากพอ นั้นและคือความโง่กำลังมาเยือน"

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

มนุษย์เงินเดือนก็เป็นเศรษฐีได้

มนุษย์เงินเดือนก็เป็นเศรษฐีได้!!!!!!

           หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เราควรอ่านตั้งแต่เนินๆก่อนที่จะยังไม่ได้เริ่มทำงานจริงๆ มันสามารถทำให้เรารับมือกับการบริหารเงินได้  เพราะเราเชื่อว่าคนไทยทุกคนอยากรวย แต่ไม่ชอบทำงาน  ชอบความสบาย ไม่เถียงว่า ใครๆก็ชอบความสบาย  แต่ในชีวิตจริง ถ้าจะสบายก็ทำงานเก็บตังค์ นอกจากคนที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายได้มีมรดกไว้ให้ อันนี้ก็สบายตามระเบียบ แต่ถึงยังไงถ้ามีเงินและไม่รู้จักใช้จักเก็บมันก็ต้องหมดไปอยู่ดี  หนังสือเล่มนี้ก็สอนการบริหารเงินให้กับมนุษย์เงิน  ซึงเราก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น พออ่านแล้วรู้สึกว่าเราต้องมีความอดทนต่อของฟุ้มเฟื่อย  รู้จักเรียงลำดับความสำคัญ การใช้จ่ายในแต่ละวัน มันทำให้เราคิดหน้าคิดหลัง แล้วก็จะสอนการออม มันทำให้เรารู้จักเก็บเงิน  หรือเรียกอีกอย่างว่าจะได้ไม่ช็อตในตอนกลางๆเดือนเพราะเป็นกันบ่อย มนุษย์เงินเดือน






ก็หนังสือเล่มนี้ถือว่าให้ความรู้เราได้มาก มันทำให้เรารู้ว่าต่อไปเราเป็นมนุษย์เงินเดือน เราก็ต้องรู้จักออม เราก็จะเป็นเศรษฐีได้อย่างสบายๆเลย



อันนี้ก็เป็นตัวอย่างในหนังสือ



 ***********อย่าลืมหาหนังสือดีๆอ่านกันนะคะ**********



365 วิธี รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน

365 วิธี รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน

 เราก็ยังอยู่กับหนังสือที่ให้กำลังใจตัวเองอยู่55555  เพราะการที่เราให้กำลังใจตัวเองมันทำให้ เรารู้สึกดีตลอดเวลา เราอาจจะคิดว่าไม่มีใครให้กำลังเราเลย แต่เราลืมมองตัวเองไปว่า ตัวเรานี้และคือกำลังใจที่สำคัญและมั่นคงที่สุด เราเลยอยากแนะนำหนังสือเล่มนี้อีกหนึ่งเล่ม
 คือหนังสือที่มีชื่อว่า 365วิธี รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน



เป็นหนังสือสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
หนังสือเล่มนี้จะบอกถึงวิธีการที่เราจะเอาไปปฎิบัติได้ในชีวิตจริงของเรา จะมี4ส่วนของเนื้อหาด้วยกัน
1.เรื่องความสัมพันธ์
2.เรื่องโลกของการทำงาน
3.เรื่องสุขภาพ
4.เรื่องการพัฒนาตัวเอง

4ส่วนนี้ก็จะเป็นหัวข้อหลักๆที่เราใช้ชีวิตจริงเขาก็จะบอกถึงการใช้ชีวิตให้ตัวเองรู็สึกดีกับตัวเองในทุกๆวัน
 แล้วก็จะมีกลอนดีๆให้เราอ่าน ส่วนตัวจะชอบอันนี้




"เพราะคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณนั้นมีอยู่มหาศาล........
แต่ผู้ที่จะเผยมันออกมาได้ก็มีเพียงแค่ตัวคุณเองเท่านั้น"
  


********อย่าลืมหาหนังสือดีๆมาอ่านกันนะคะ**********



วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

เสียอะไรก็ได้แต่.....อย่าเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง

หนังสือ เสียอะไรก็ได้แต่.....อย่าเสียความมั่นใจในตัวเอง

    
อยากแนะนำ /// หนังสือเล่มนี้มากเพราะมันเกี่ยวกับการเชื่อมั่นในตัวเอง  
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งที่5แล้ว    ตัวเราอ่านและรู้สึกว่ามันเหมือนการให้กำลังใจตัวเอง บอกวิธีการให้เราคิดบวก  การบอกเรื่องร้ายๆให้เรากลับคิดบวก 

                                                            "คิดให้บวก"
                                           เกิดสิ่งดี   เป็นความสุข   ได้กำไรชีวิต
                                                           "คิดให้ลบ"
                                         เกิดสิ่งร้าย   เป็นความทุกข์  ขาดทุนชีวิต
 
สอนให้เราคิดว่าทุกปัญหาคือกำไรของชีวิต
                                                         ปัญหา = กำไร
                                                      อุปสรรค = กำไร
                                             ความพยายาม = กำไร
                                                 ความอดทน = กำไร
                                                ชนะใจตัวเอง =กำไร
                                                      ทำสิ่งดีๆ =กำไร
                                                         คิดบวก=กำไร
หนังสือเล่มนี้สอนให้เราคิดบวก คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีมันคือกำไรในชีวิต

 
*****ลองหาซื้ออ่านกันดูนะคะเพื่อนๆ เราจะได้คิดบวกๆๆ************

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

นิยายนิยาย

นิยาย นิยาย  

         การที่เราจะอ่านหนังสือได้แต่ละเล่มแต่และบรรทัดหรือแล่ละตัวนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือ    *"แต่เราก็มีวิธีนิดหน่อยสำหรับตัวเราเองนะไม่ได้ไปเอามาจากไหน555555"
คือเป็นวิธีที่ง่ายมากกกกกก   เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าไร  หยิบขึ้นมาก็อ่านได้ไม่กี่บรรทัด แต่เราก็เริ่มจาก การเลือกหนังสือที่ชอบ  แล้วก็อยากจะแนะนำเพื่อนๆก็คือหนังสือนิยาย

หนังสือนิยายมันจะมีเสน่ห์ในตัวมัน เราอ่านและจะหลงรัก แล้วถ้าผู้หญิงอย่างเราๆที่เป็นหนอนหนังสือตัวยงของนิยายแล้ว จะอ่านข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว หรือเพลินจะลืมเวลากันเลย เราคนหนึ่งที่ชอบการอ่านนิยายมากถึงแม้จะมาอ่านได้ไม่กี่ปีแต่รู้สึกชอบหลงรัก มันจะทำให้เราจินตนาการไปเรื่อยๆอ่านแล้วจะเห็นภาพในหัวเลย แล้วมันจะทำให้เราเพ้อฝันไปต่างๆคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกที่มีพระเอกหล่อๆ55555555555 ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!



ถ้าทุกคนได้ลองอ่านสักเล่มคุณจะติดใจจดต้องหาเล่มที่2 3 4 มาอ่านกันเลยทีเดียว ************************* ลองหาอ่านกันดูนะจ้ะ***************************


วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมต้องอ่านหนังสือ

ทำไมเราต้องอ่านหนังสือ  หรือ  เราต้องบอกว่าทำไมเราไม่ค่อยอ่านหนังสือ
.................................................
เพราะสมัยนี้เราหมกมุ่นอยู่แต่โซเชียล เทคโนโลยีต่างๆมันทำให้เราห่างจากหนังสือ
ทำให้การอ่านหนังสือของคนไทยน้อยลง
หรือความขี้เกียจของเรา หรือบ้างคนอาจจะไม่ชอบอ่าน หรือบ้างคนบอกไม่มีเวลา
แต่ทุกคนมีเวลาที่จะเล่นfacebook ,line ฯลฯ
 




การอ่านหนังสือมันมีประโยชน์ แต่ทุกคนกับมองข้าม
การอ่านหนังสือ ส่วนตัวเราแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะอ่าน ไม่ชอบอ่านเลยด้วยซ้ำ แต่คนเรามันก็จะมีหนังสือที่เราชอบสักอย่างอะและ ส่วนเราเริ่มอ่านหนังสือเลยการอ่านนิยาย เพราะเป็นคนชอบเพ้อฝัน อย่างแต่งงานกับเจ้าชาย555555 อันนี้คือการจินตนาการ มันเลยทำให้เริ่มชอบอ่านหนังสือขึ้นเรื่อย แล้วก็อยากที่จะหาหนังสืออื่นๆ ประเภทอื่นๆ  เราเลยอยากจะบอกสำหรับคนที่ไม่ชอบ อยากจะให้เริ่มอ่านหนังสือที่เราชอบก่อน แล้วก็ค่อยๆ หาหนังสือแนวอื่นอ่าน มันจะทำให้เราเริ่มที่จะหยิบจับหนังสือขึ้นมาอ่านโดยอัตโมมัติ 
"ประโยชน์ของมัน" มันทำให้เรามีสติมากขึ้นนะ เราคิดว่า   มันทำให้เรารู้จักคิด ด้วยนะ







ลองหาหนังสือดีๆที่เราสนใจอ่านสักเล่มน่ะจ้ะ*******
อ้างอิงhttps://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD&biw=1203&bih=829&site=webhp&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=__gLVbjABYKfugTr0oFo&ved=0CAYQ_AUoAQ#imgdii=_&imgrc=tf20-yRy-PLchM%253A%3BnOCBRdIkebW3NM%3Bhttp%253A%252F%252Fstang.sc.mahidol.ac.th%252Fbookfair%252FOldweb%252Fpicture%252Fbookandread.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fstang.sc.mahidol.ac.th%252Fbookfair%252FOldweb%252FArticle004.htm%3B449%3B321